แหวนคู่ ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนใจของคู่หนุ่มสาวที่ตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน โดยมีประเพณีนิยมคือการสวมแหวนแทนคำมั่นสัญญา ว่าจะรักและดูแลกันจนตราบสิ้นลมหายใจ
ซึ่งแต่ละประเพณี ล้วนมีที่มาจากตำนานต่างๆ เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งตำนานที่เกี่ยวกับแหวนคู่ ซึ่งแต่ละเรื่องเล่าก็แตกต่างกันไปตามท้องถิ่น บางเรื่องก็เกี่ยวพันกับเทพเจ้าและพระมหากษัตริย์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ ว่าจริงเท็จสักแค่ไหน
จากที่เคยเล่าไปแล้วในตอนที่ 1 โดยกล่าวถึงตำนานแหวนคู่จากฝั่งอียิปต์ ซึ่งมีการอ้างอิงถึงเทพเจ้า ครั้งนี้จะหันมาเล่าถึงฝั่งตำนานกรีกบ้าง กรีกเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพเจ้าไม่แพ้อียิปต์เลยก็ว่าได้ แต่ตำนานฝั่งกรีกค่อนข้างเป็นรูปธรรมกว่า ตามเรื่องราวที่จะกล่าวดังต่อไปนี้
ตำนานที่ 2 เซอรีน่า-มาร์คัส
ในยุคที่เทพเจ้าและมนุษย์สามารถติดต่อกันได้จนกลายเป็นเรื่องปกติ มีเทพผู้เป็นหนึ่งแห่งงานศิลปะ การเขียนรูป เขียนหนังสือและหล่อโลหะ นามว่า โพรมีธูส เขาถูกลงโทษโดยการใช้หินล่ามไว้บนยอดเขาคอเคซัส เป็นเวลายาวนาน และในทุกๆสามสิบปี จะมีนกอินทรีย์มาเจาะกินตับของเขา สร้างความทุกข์ทรมานให้เขาเป็นอย่างยิ่ง
มาร์คัส หนุ่มน้อยพเนจรผู้ไร้ซึ่งครอบครัวได้เดินทางรอนแรมหาที่อยู่ไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พลัดหลงขึ้นสู่ยอดเขาคอเคซัส ที่นั่น เขาได้พบชายคนหนึ่งกำลังทุกข์ทรมานจากการจิกทึ้งของบรรดานกอินทรีย์ มาร์คัสจึงเข้าไปช่วยไล่นกเหล่านั้นด้วยความสงสาร ดังนั้น เหล่าบรรดานกที่ดุร้ายทั้งหลายจึงหันมาจัดการมาร์คัสแทน และในที่สุดเขาไล่นกได้สำเร็จ แต่กลับถึงแก่ความตายในเวลาถัดมา
โพรมีธูสรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจและเวทนาชายหนุ่มขึ้นมาอย่างจับใจ เขาร่ายมนตร์ชุบชีวิตโดยใช้เลือดของตนเป็นส่วนประกอบในการทำพิธี และในที่สุด หลังจากผ่านไปสามวัน มาร์คัสก็ฟื้นคืนชีพ
การฟื้นมาครั้งนี้ทำให้มาร์คัสมีทักษะใกล้เคียงกับโพรมีธูสในทันที ชายหนุ่มดีใจมากที่จู่ๆก็มีความสามารถราวเทพประทานแบบนี้ เขาลาจากโพรมีธูสแล้วเร่งเดินทางลงจากยอดเขา เพื่อหาสถานที่ที่เป็นหลักแหล่งในชีวิตสักแห่งหนึ่ง แล้วใช้วิชาหล่อโลหะที่ได้มาไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวสืบไป
มาร์คัสรอนแรมไปจนพบหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีที่พักพิงให้เขาโดยบังเอิญ เนื่องจากชายชราช่างตีเหล็กคนหนึ่งเพิ่งเสียชีวิตไป และบ้านหลังนี้ก็ว่างเปล่า ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านพร้อมใจกันยกบ้านหลังนั้นให้แก่มาร์คัส ซึ่งมาร์คัสเองก็ไม่ได้รังเกียจ เขายินดีด้วยซ้ำที่จะพักอาศัยและตั้งรกรากอยู่ที่นี่เป็นการถาวร
และที่นี่เองที่เขาได้พบรักกับเซอรีน่า ลูกสาวของตระกูลขุนนางผู้สูงศักดิ์ ชายหนุ่มถูกกีดกันจากพ่อของฝ่ายหญิง ให้ออกห่างจากลูกสาวตน เขาและเซอรีน่าเสียใจมาก จนเซอรีน่าต้องบากหน้าไปอ้อนวอนต่อเทพีดีมีเตอร์ ซึ่งนางก็ยอมเป็นธุระให้ และเป็นคนมาไกล่เกลี่ยอ้อนวอนพ่อของเซอรีน่าเพราะต้องการให้คนทั้งคู่สมหวังกัน
พ่อของเซอรีน่าทำท่าคล้ายจะยอมตกลงในคราวแรก เขาเอ่ยปากยอมยกลูกสาวให้แต่งงานกับชายหนุ่มพเนจร ถ้าเทพโพรมีธูสมาหล่อโลหะเป็นของขวัญวันแต่งงานให้แก่คนทั้งคู่ มาร์คัสแทบล้มทั้งยืน เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าเทพโพรมีธูสถูกจองจำ ไม่สามารถลงมาช่วยเขาได้อย่างแน่นอน
แต่ถือเป็นโชคดีของเซอรีน่าและมาร์คัส ที่จังหวะนั้น โพรมีธูสพ้นโทษพอดี เขากลับมาช่วยมาร์คัสตามคำชักชวนของดีมีเตอร์ และได้ทำการหล่อโลหะผสมทองคำขึ้นมาเป็นรูปร่างวงแหวนทั้งสองชิ้น เพื่อมอบให้มาร์คัสเป็นของขวัญในวันแต่งงาน
ดังนั้น เซอรีน่ากับมาร์คัสจึงกลายเป็นบ่าวสาวคู่แรกของโลกที่เข้าพิธีแต่งงาน กันโดยใช้แหวนคู่ และประเพณีนี้ก็ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในทั่วทุกภูมิภาค จนกลายเป็นประเพณีชวนฝันของบรรดาสาวๆทุกคนบนโลกนี้ไปโดยปริยาย